【ห้ามพลาด】10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในคิวชูของญี่ปุ่น แนะนำจุดทัวร์โดยชาวญี่ปุ่น!!

ในคิวชูมี่จังหวัดอยู่ 7 จังหวัด แต่ละจังหวัดก็มีสถานที่ที่มีเสน่ห์น่าดึงดูด บางสถานที่ก็หาชมจากที่อื่นไม่ได้ คิวชูค่อนข้างที่กว้าง แต่เราได้เลือกและขอแนะนำ 10 สถานที่ที่น่าสนใจ ขอเชิญสนุกสนานเพลิดเพลินและสัมผัสประเพณี ประวัติศาตร์และธรรมชาติของคิวชูของญี่ปุ่น

1. หากคุณอยากเห็นสวนที่สวยงามก็ต้องที่นี่ “สวนจิรังบุเกะยาชิ”

photo by city.minamikyushu   /   embedded from Instagram

ตั้งแต่สมัยเอโ ดะเป็นหมู่บ้านของซามุไร เหมาะสำหรับการเดินเที่ยว มีสวนทั้งหมด 7 สวน ได้ชื่อว่าเป็นสวนที่สวยงาม หมู้บ้านซามุไรได้รับการดูแลรักษาจากรัฐบาล รั้วบ้านทำจากก้อนหินได้รับอิทธิผลจากเกาะโอกินะว่าและประเทศจีน

ตรงประตูจะมีหิน เรียกว่า เบียวบุอิวะ ถนนมีความแคบและคดเคี้ยวสลับซับซ้อน สาเหตุก็เพราะว่าป้องกันการรุกรานของศัตรู สวนมี่ทั้งหมด 7 สวน แต่มี 1สวนที่มีน้ำไหลผ่าน และที่เหลืออีก 6 สวนไม่มีน้ำไหลผ่าน แบบญี่ปุ่น ถ้ามาที่นี่ ก็ขอให้ใช้เวลาอย่างช้าๆเพื่อเพลิดเพลินความสวยงามของสวนที่สวยงาม

2. “น้ำตกนาเบะกะทากิ” น้ำตกที่งดงามราวกับผ้าม่าน

น้ำตกมีความสูง 10 เมตร ความกว้าง 20 เมตร น้ำตกจะคล้ายๆกับม่าน แต่ละฤดู และปริมาณความเยอะน้อยของน้ำ ทำให้ทัศนียภาพของน้ำตกแตกต่างกันไป ในสมัยก่อนก็มีความแตกต่างจากปัจจุบัน สามารถเข้าไปใต้น้ำตกและมองออกมาได้ จึงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างแปลก เลยมีชื่อเรียกอีกหนึ่งชื่อว่า อุระมิโนะทากิ หรือ น้ำตกที่มองจากด้านในออกมาได้ ลองไปสัมผัสความสวยงามของวิวทิวทรรศของธรรมชาติแบบใกล้ชิดกันหน่อยไหม

ข้อควรระวังหนึ่งข้อของการมาที่นี่ก็คือ จากลานจอดรถไปยังน้ำตกจะเป็นทางลาดชัน และลื่นมาก ควรจะสวมรองเท้าที่มีความเหมาะสม ในกรณีที่ปริมาณน้ำเยอะเกินไป อาจจะทำให้มองจากด้านในออกมาด้านนอกไม่เห็น แนะนำว่าก่อนไปควรศึกษาข้อมูลให้ดีๆ

3. ราวกับอยู่ในสมัยเอโดะ “ช้อปปิ้งสตรีทฮิตะมะเมะดามาจิ”

photo by vandzillo   /   embedded from Instagram

ในสมัยเอโดะ ฮิตะ เป็นที่ว่าราชการในสมัยเอโดะ พ่อค้าแม่ค้าก็เลยโยกย้ายมาอาศัยอยู่ที่มาเมะดะมาจิ จึงทำให้กลายเป็นจุดศูนย์กลางย่านธุรกิจ ในปัจจุบันตัวเมืองยังคงหลงเหลือสถานที่เก่าๆเช่นคลอง และคลังสินค้าอยู่ ในปี คศ.2004 ได้รับการขึ้นทะเบียนเพื่อดูแลรักษาจากรัฐบาล ถึงแม้จะเป็นลักษณะของเมืองสมัยโบราณ แต่ด้วยที่นี่มีร้านค้าร้านอาหารมากมาย จึงทำให้น่าเดินมาก

แค่เพียงเดินเล่นเฉยๆก้จะรู้สึกถึงบรรยากาศเก่าๆในสมัยเอโดะได้ แค่เพียงเดินเฉยๆก็สนุก แต่ถ้ามีไกด์คอยให้ข้อมูลประวัติความเป็นมาของสถาณที่ก็จะได้ความรู้ควบคู่ไปกับความสนุกด้วย ถ้าหากต้องการไกด์นำเที่ยว แค่เพียง 2 คนขึ้นไปก็สามารถจองได้ เช็คข้อมูลในหน้าเวปไซด์ แนะนำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น

4. “ศาลเจ้า อุโดจิงกุ” เป็นที่นับถือศรัทธาของคนท้องถิ่น

สำหรับคนท้องถิ่นแล้ว เรียกว่า อุโดซัง ซึ่งทำให้รู้สึกว่ามีความใกล้ชิดสนิทสนมแต่จริงๆแล้วก็คือศาลเจ้านั่นเอง สถานที่กราบไหว้และขอพรอยู่ในถ้ำตามธรรมชาติจึงถือว่าค่อนข้างแปลก สีของศาลเจ้าจะออกแดงๆสวยงามเป็นอย่างยิ่ง มีชื่อเสียงตั้งแต่อดีตกาลในเรื่องของการขอพรให้สมหวังความรัก จึงมีคนมาขอพรในเรื่องของความรักเป็นจำนวนมาก จะมีก้อนหินเสี่ยงโชคที่เรียกว่า อุนดะมะ ให้ผู้ที่มาขอพรได้โยนทอยเพื่อเสี่ยงทายในเรื่องของความรัก ก็ลองมาโยนหินกันดูนะ มีก้อนหินลักษณะแปลกๆมากมายให้ได้ชมกัน

จะมีก้อนหินที่เป็นรูตรงการให้โยนก้อนหินทำนายกัน จะเป็นบริเวณที่ปิดและมีเชือกล้อมรอบ ซึ่งเป็นจุดที่ให้โยนก้อนหินทั้งหมด 5ลูกลงไปในรูของก้อนหินศักสิทธิ์นี้ โดยผู้ชายให้โยนด้วยมือขวา ส่วนผู้หญิงโยนด้วยมือซ้าย ทีละลูก จนครบ 5ลูก ระยะที่ให้โยนหินจะค่อนข้างไกลพอสมควร ถ้าหากใครโยนลงรูพอดีก็จะสมหวังในสิ่งที่ขอไว้ ค่อนข้างลำบากแต่ก็ลองดูกันได้นะ

5. เหมือนอยู่ในยุโรป “เฮ้าส์เทมบอส”

photo by rs_6301   /   embedded from Instagram

1,520,000 ตารางเมตร เป็นสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น คำว่า เฮ้าส์เทมบอส มาจากภาษาฮอลแลนด์ มีความหมายว่า บ้านป่า ในสวนมีลักษณะคล้ายหมู่บ้านในแถบยุโรป มี ทาวเวอร์ สูง 105 เมตร แล้วก็โรงแรมแบบยุโรป และก็คลอง ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิจนถึงต้นฤดูร้อน ดอกไม้ในสวนจะสวยมาก . โดยเฉพาะในช่วงเดือนมีนาคมจนถึงเดือนเมษายน จะมีดอกทิวลิป จำนวน 1 ล้านต้น สวยงามมาก

และดอกไม้ชนิดอื่นๆอีกมากมาย มองไปคล้ายๆกับผืนพรมลายดอกไม้ ดอกก็สวยงาม แต่การแสดงแสงไฟในย่ามค่ำคืนก้สวยงามไม่แพ้กัน การแสดงแสงสีเสียงในช่วงกลางคืน เคยติดอันดับที่1มาแล้ว โรงแรมมีหุ่นแปลภาษาหลายภาษา สามารถช่วยเช็คอิน เช็คเอ้า ช่วยขนกระเป๋าได้ จึงได้ชื่อว่าเป็นโรงแรมที่ค่อนข้างแปลก ถ้าหากมีความสนใจก็ลองไปพักดูนะ

6. ดอกไม้สวยๆเยอะมาก “สวนมิฟุเนะยามะ”

สวนแห่งนี้เปิดตั้งแต่ปี คศ.1845 มีอายุ 170ปี ได้รับความนิยมจากคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวจากที่อื่นมาเข้าชมกันเป็นจำนวนมาก ก่อตั้งโดย คุณนาเบะชิมะ ชิเกะโยชิ ซึ่งสวนแห่งนี้มีความกว้างประมาณ 5แสนตารางเมตร และมีภูเขามิฟุเบะยามะ อยู่ สูงถึง 210 เมตร สวนแห่งนี้ถูกสร้างโดยช่างที่มาจากเกียวโต ค.ศ.2010 รัฐบาลได้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้นที่สวนแห่งนี้

ในสวนแห่งนี้มีต้นดอกซากุระ 2,000ต้น มีต้นดอกอะซาเลีย 2แสนต้น และในทุกๆปีช่วงฤดุใบไม้ผลิก้จะมีการจัดงาน งานเทศกาลดอกไม้ ในช่วงดอกไม้บาน สวยงามจนพูดเป็นคำพูดไม่ได้ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้จะเป็นสีแดงและสีเหลืองสวยงามมาก ส่วนฤดุหนาวเอง หิมะก็สวยงามไม่แพ้กัน แต่ละฤดู ทั้ง4ฤดูก็มีความงดงามต่างกัน ถ้าหากได้ไปเที่ยวแล้วถือว่าคุ้มค่ามาก

7. “โมจิโค เรโทโร่” ได้ย้อนยุคไปสนุกสนานกับบรรยากาศเหมือนในสมัยไทโชและโชวะ

โมจิโค เรโทโร่ อยู่บริเวณช่องแคบคัมโมง ที่มีชื่อเสียง ยังคงมีตึกรามบ้านช่องในช่วงสมัยไทโชและสมัยโชวะหลงเหลืออยู่ ถ้าจะไปยังที่แห่งนี้ ก้เริ่มต้นจากสถานี JRโมจิโค สถานีแห่งนี้ ตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1891 ตอนแรกตั้งอยู่ห่างออกไปจากตัวเมือง และในปี ค.ศ.1914 ก็ได้ย้ายมาสร้างใหม่ในที่ปัจจุบัน สมัยก่อนถือว่าเป็นสถานีที่แปลกมากๆที่มีห้องน้ำแบบราดน้ำและอ่างล้างมือแบบอ่างที่ทำมาจากบรอนซ์

เป็นสถานีแรกที่ได้รับเลือกเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรม มีทาวเวอร์ทรงแปดเหลี่ยม ที่ตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1917 และตึกอิฐแดง ตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1912 และต่างๆ ขอแนะนำร้านค้าของกินของฝากมากมาย ที่ ไคเกียวพลาซ่า มาพักผ่อนหรือมาทานอาหาร ก็ลองมาที่นี่กันดูนะ

8. มีโอกาสได้เห็นปลาโลมาถึง 99%ที่ “อะมาคุสะ อิรุคะมารีนเวิล์ด”

photo by higo_kumamoto   /   embedded from Instagram

ไปดู ปลาโลมาที่ ทะเลอะมาคุสะกันไหม ที่ทะเลมีปลาโลมาธรรมชาติถึง 200～300ตัว ในประเทศญี่ปุ่นถือว่าแปลกมากๆที่มีปลาโลมาจำนวนเยอะขนาดนี้ เป็นเพราะลักษณะของทะเลและแหล่งอาหารจึงทำให้มีปลาโลมาอาศัยอยู่บริเวณนี้เป็นจำนวนมาก

การนั่งเรือชมปลาโลมาถือว่าได้รับความนิยมมาก จากท่าเรือนั่งเรือไปแค่เพียง 15นาทีก็จะเห็นปลาโลมาแล้ว สำหรับคนที่ไม่ชอบนั่งเรือ ด้วยระยะเวลาขนาดนี้ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร โอกาสที่จะเจอปลาโลมามีถึง 99%แต่หากว่าไม่เจอ สามารถนั่งเรือไปอีกรอบโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม และในวันที่ฝนตกก็ยังสามารถเห็นปลาโลมาได้เช่นกัน ถ้าโชคดีก็จะเห็นปลาโลมามาดำผุดดำว่ายวนอยู่ใกล้ๆเรือ ไปดูปลาโลมากันเถอะ

9. สมัยก่อนเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คน แต่ปัจจุบันเป็นเกาะร้าง “เกาะกุนคัง”

เกาะกุนกังชิมะ ชื่อจริงๆคือเกาะฮะชิมะ ในปี ค.ศ.1810 ได้มีการค้นพบถ่านหิน และ ในปี ค.ศ.1890 ก้ได้มีการเริ่มขุดถ่านหิน และพวกคนงานขุดถ่านหินก็ได้มาอาศัยอยู่บนเกาะ ขนาดเล็กที่มีความกว้างเพียง 160เมตร และก็ความยาว 480 เมตร ช่วงที่มีคนอาศัยอยู่มากที่สุดคือปี ค.ศ.1960 จำนวนคนมากกว่า 5,200คน และแน่นอนว่าก็มีทั้งโรงเรียน โรงแรม สถานีตำรวจ ศาลเจ้า และโรงภาพยนต์

มีอพาร์ทเม้นมากมาย ลักษณะคล้ายๆกับเรือรบ จึงตั้งชื่อว่า กุนคังชิมะ และในช่วงหลังได้มีการยกเลิกการใช้ถ่านหินหันมาใช้น้ำมันแทน จึงมีการปิดเกาะแห่งนี้ในวันที่ 15 มกราคม 1974 และในวันที่ 22 เมษายน 1974 ก็มีการย้ายออกจากเกาะกันหมด และได้มีการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.2015 ไปเที่ยวที่เกาะนี้กับทัวร์กันเถอะ

10. “สวนเสนกังเอน” สวนขนาดใหญ่ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม

photo by yoko.msa   /   embedded from Instagram

ในปี ค.ศ.1658 คุณชิมัสซึ มิซึฮิซะ ได้ก่อตั้งสวนแห่งนี้ขึ้น มีความกว้าง 50,000ตารางเมตร สร้างแบบเหมือนกับทะเลและภูเขา จึงมีชื่ออีกหนึ่งชื่อว่า สวนอิโซะ ในปี ค.ศ.1958 ได้รับการจดทะเบียนว่าเป็นสถานที่ที่วิวสวยงาม ในสวนสมัยก่อนเป็นที่หลอมเหล็กเพื่อทำปืนใหญ่ และในสวนมีศาลาที่ได้รับมาจากโอกินาว่า

และมีดรงงานเครื่องแก้วของเมืองซัสซึมะคนชิมัสซึนาริอะกิระ จะรักสวนแห่งนี้มาก ก้ได้มีการเชิญคนใหญ่คนโต คนที่มีชื่อเสียงมาเพื่อให้ชมสวนแห่งนี้ ขอแนะนำให้มาชมในวันที่อากาศดีๆ และอย่าลืมทานอาหารขึ้นชื่อ นั่นก็คือ จัมโบ้โมจิ ด้วยนะ

ไปเที่ยวสถานที่เที่ยวในเกาะคิวชูกันเถอะ

เป็นอย่างไรบ้าง คิวชูเป็นเมืองที่มีวิวทิวทัศน์แบบญี่ปุ่น และมีดอกไม้มากมาย แต่ละฤดูก้จะมีความสวยแตกต่างกัน จึงทำให้มากี่ครั้งก็ไม่เบื่อ แล้วคุณหล่ะไปเที่ยวกับใคร ถึงแม้จะไปคนเดียวก็สามารถไปได้นะ และถ้าหากมีที่ที่ดีของคิวชูแล้วก็ช่วยแนะนำหน่อยนะ